พลเอกอนุพงศ์
เผ่าจินดา ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.อธิบายว่า ที่
กอ.รมน.ต้องไปเชิญกำนันผู้ใหญ่บ้านในภาคเหนือและภาคอิสานมาฟังคำชี้แจง
เกี่ยวกับการลุกขึ้นสู้ของคนเสื้อแดงในระหว่างสงกรานต์
ก็เพราะประชาชนในพื้นที่เหล่านั้นอยู่ไกลปืนเที่ยง
ย่อมได้รับข่าวสารข้อมูลไม่ครบถ้วน ทาง
กอ.รมน.จึงจัดการประชุมเพื่อจะได้ชี้แจงให้ครบถ้วนกระบวนความ
ประชาชนจะได้ไม่ไปร่วมมือกับคนเสื้อแดงอีก
สอด
คล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ
ฝ่ายความมั่นคงที่บอกว่า ประชาชนในต่างจังหวัดมีค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง
จึงต้องจัดโครงการไปปรับค่านิยมของคนต่างจังหวัด
คุณสุเทพยกตัวอย่างจากอดีตว่า
"ตัว-อย่างโครงการปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องในอดีต
อาทิโครงการลูกเสือชาวบ้านที่ทำให้แนวคิดคอมมิวนิสต์ยุติลง"
สรุปก็
คือ ประชาชนมีแนวคิดที่ไม่ตรงกับชนชั้นนำที่กุมอำนาจ ทำให้ประชาชนต่อต้าน
จึงต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดของประชาชนในต่างจังหวัดให้ "ถูกต้อง"
คือตรงกับแนวคิดของชนชั้นนำ
ไม่แปลกอะไรนะครับ
ชนชั้นนำในทุกสังคมก็คิดอย่างนี้แหละ นั่นคือจะ "นำ" สังคมได้
ก็ต้องทำให้ประชาชนยอมรับการ "นำ" ของตน
จะยอมรับได้ก็ต้องเริ่มต้นที่มีแนวคิดอย่างเดียวกัน
หรือที่คุณสุเทพเรียกว่าค่านิยมเดียวกันนั่นเอง
ว่ากันที่จริงแล้ว
ประชาธิปไตยตะวันตกที่เรารู้จักในทุกวันนี้ ก็มาจากการปรับแนวคิด,
วิธีการ, กระบวนการ, ฯลฯ
ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนซึ่งเกิดสำนึกทางการเมืองขึ้นนั่นเอง
จากสิทธิทางการเมืองที่จำกัดไว้เฉพาะคนซึ่งเสียภาษีที่ดินและทรัพย์สิน
มาสู่ประชาชนผู้ชายทั่วไป จากประชาชนผู้ชายทั่วไป
มาสู่ประชาชนทั้งชายและหญิง จากสิทธิทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมของคนผิวสี
มาสู่สิทธิที่เท่าเทียมของคนทุกสีผิว ฯลฯ
การ "นำ" ที่จะอยู่ยั้งยืนยงที่ไหนๆ ในโลก ก็ต้องอาศัยการปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้ "ตาม" ทั้งนั้น
การ
ปฏิรูปการปกครองในสมัย ร.5 ส่วนหนึ่งก็มาจากการปรับตัว
เพราะราชบัลลังก์กำลังสูญเสียการ"นำ"ให้แก่ขุนนางบางตระกูล
แต่เพราะชนชั้นนำในเวลาต่อมาหมดความสามารถในการปรับตัวได้อีก
จึงต้องสูญเสียการ "นำ" (อย่างน้อยไปส่วนหนึ่ง)
ให้แก่การปฏิวัติของคณะราษฎร
ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยขุนนางในระบบราชการแบบใหม่
น่าสังเกตด้วยว่า
การปรับตัวที่ประสบความสำเร็จนั้นกระทำแก่ชนชั้นนำเป็นหลัก
ไม่ใช่ทำกับประชาชนเป็นหลัก
เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดแก่สังคมซึ่งกระทบต่อประชาชนนั้น
ไม่อาจแปรเปลี่ยนหรือขวางกั้นได้ง่ายๆ
แม้แต่ในสังคมที่ปิดกั้นขัดขวางความเปลี่ยนแปลงอย่างเข้มงวด
เช่นรัสเซียในสมัยราชวงศ์โรมานอฟ
ก็ไม่ประสบความสำเร็จที่จะหยุดสังคมไว้กับที่ได้ต่อไป
และเพราะไม่เข้าใจหรือไม่อยากเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่ตนเองชิงชังนั้น
ผลก็คือการปฏิวัติของบอลเชวิค ซึ่งทำลายล้างโรมานอฟลงจนสิ้นซาก
สังคม
ไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว
โดยเฉพาะใน"ต่างจังหวัด"ซึ่งชนชั้นนำยังหลงคิดว่าเหมือนเดิมทุกอย่าง
ฉะนั้นการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารด้วยการยัดเยียดข้อมูลของตัวฝ่ายเดียวจึงไม่
สามารถสถาปนาการ"นำ"ของตนได้ต่อไป
ปฏิกิริยาของกำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งเข้าร่วมประชุมที่เชียงใหม่
คือการประท้วงวิทยากรของ กอ.รมน.อย่างเปิดเผย
และในที่สุดจำนวนหนึ่งก็ใช้วิธีเดินออกจากห้องประชุม
ชี้ให้เห็นว่าวิธีการแบบเดิม
คือยัดเยียดข้อมูลฝ่ายตนฝ่ายเดียวให้แก่ประชาชนเป็นวิธีการล้าสมัยที่ไม่ให้
ผลอย่างเก่าอีกแล้ว
ประชาชนรับข้อมูลได้กว้างขวางกว่านั้นมาก
ข้อมูลของกอ.รมน.ก็เป็นข้อมูลหนึ่งในหลายๆ กระแสที่ประชาชนได้รับ
จึงเป็นไปไม่ได้ที่กระแสของ กอ.รมน.จะครอบงำกระแสอื่นๆ ได้หมด
"ต่าง
จังหวัด"ของไทยไม่เหมือนเมื่อสมัยที่ปลุกกระแสลูกเสือชาวบ้าน
เราต้องไม่ลืมว่ากว่าครึ่งหนึ่งของประชากรไทยเวลานี้อาศัยอยู่ในเขตที่เรียก
ว่า"เมือง"
อันเป็นแหล่งที่ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หลากหลายและปริมาณมาก
ส่วนใหญ่ของประชากรไทยไม่ได้ทำเกษตร
ส่วนที่ยังทำเกษตรอยู่ก็ทำในเชิงพานิชย์อย่างเข้มข้น
นั่นหมายความว่าต้องการข่าวสารข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ และการจัดการไร่นา
จะเห็นได้ว่าตลาด"ต่างจังหวัด"ของสื่อเชิงพาณิชย์ทุกประเภทเติบโตขึ้น
แม้อย่างช้าๆ แต่ก็เติบโตขึ้น ยังไม่พูดถึงสื่อทางเลือกอื่นๆ
นับตั้งแต่เว็บไซต์ไปจนถึงวิทยุชุมชน (และ D Station)
การช่วงชิงการ
"นำ" เป็นศิลปะอันละเอียดอ่อน ซึ่งชนชั้นนำต้องเรียนรู้
และใช้ยุทธวิธีให้เหมาะกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคม
วิธีการซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้ได้ผลในการครอบงำความคิดของประชาชน
เมื่อสังคมเปลี่ยนไปแล้ว วิธีการนั้นก็ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
ความขัด
แย้งทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความรุนแรงดังที่ปรากฏในปัจจุบัน
เป็นผลมาจากความไร้สมรรถภาพที่จะปรับตัวของชนชั้นนำไทย
เพราะสาเหตุของความขัดแย้งอยู่ลึกกว่าการปะทะกันของเสื้อสองสี
(หรือสามสี่สี)
แต่เป็นเพราะประชาชนนอกวงของชนชั้นนำไม่ยอมรับการนำของชนชั้นนำกลุ่มต่างๆ
อีกต่อไป หรืออย่างน้อยก็ไม่รับการนำแบบเดิม
ที่พวกเขาไม่มีส่วนในการกำกับควบคุมอีกต่อไป
ชนชั้นนำไทยยังคิดว่า
ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่ เป็นความขัดแย้งในระหว่างกลุ่มต่างๆ
ของชนชั้นนำ ซึ่งเกิดขึ้นเสมอมา
ต่างชิงความได้เปรียบเสียเปรียบกันด้วยกลวิธีนานาชนิด ทั้งในรัฐสภา,
ในกองทัพ, ในวงราชการ และในวงธุรกิจ
กลวิธีใหม่เพียงอย่างเดียวคือการสร้างม็อบขึ้นเป็นแรงกดดันฝ่ายตรงข้าม
แต่
ในม็อบของทุกสี ย่อมประกอบด้วยประชาชนซึ่งรวมพลังกดดันเป้าหมายอื่น
นอกไปจากสิ่งที่แกนนำวางเอาไว้ตามที่ได้รับมอบหมายมาจากชนชั้นนำกลุ่มที่ใช้
ตนเป็นเครื่องมือ พลังกดดันส่วนนี้ของประชาชนเริ่มปรากฏให้เห็นถนัดมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น "การเมืองใหม่" (ซึ่งอาจมีความหมายแตกต่างจากที่แกนนำเสนอ)
หรือ "ล้มอำมาตย์"
ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าอำนาจนอกระบบซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองของชนชั้นนำ
อีกกลุ่มหนึ่ง
จะหยุดความรุนแรงในสังคมไทยได้อย่างไร?
ไม่ใช่ด้วยการนำแกนนำของสีต่างๆ มาต่อรองกันอย่างเปิดเผย
เพราะคนเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือของชนชั้นนำกลุ่มที่กำลังต่อสู้กันอยู่
อย่างไรเสียก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ชนชั้นนำทุกกลุ่ม
จะต้องหันมาทำความเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นในสังคมไทย
แล้วตกลงร่วมกันในการปรับเปลี่ยนการ "นำ" ของพวกตนใหม่
ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ไม่ใช่ด้วยวิธีปิดกั้นข่าวสารข้อมูล
แต่ด้วยการร่วมกันมองหากติกาที่ชนชั้นนำทุกกลุ่มพอรับได้ ในขณะเดียวกัน
ก็ทำให้ประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมืองขึ้นมาพอรับได้ด้วย