เปิดต้นเหตุโศกนาฏกรรม"บิ๊ก"คลัง ล้วน โยงใยคดีภาษีหุ้น"ชิน"ฤา "ศุภรัตน์"ไม่ใช่รายล่าสุดที่ถูกไล่ออก
มติ
ชน-บรรดาข้าราชการระดับสูงเหล่านี้ต้องเผชิญวิบากกรรมอย่างหนักหน่วงล้วน
เริ่มจากการพัวพันการช่วยเหลือผู้มีอำนาจในคดีการเลี่ยงภาษีการโอนหุ้นชิน
คอร์ปมูลค่า 738 ล้านบาทระหว่างคุณหญิงพจมาน ชินวัตร กับนายบรรณพจน์
ดามาพงศ์ทั้งสิ้น
และแล้วนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
ปลัดกระทรวงการคลังก็เป็นข้าราชการระดับสูงรายล่าสุดของกระทรวงการคลังที่
ถูก อ.ก.พ.กระทรวงการคลังไล่ออกจากราชการ
ฐานทุจริตต่อหน้าที่ในการแต่งตั้งรองอธิบดีกรมสรรพากร 4
คนไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อปี 2545 (ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร)
ซึ่วมีความผิดทางอาญตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
และยังมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการซึ่งเป็นไปมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ
ทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2552
นายศุภรัตน์
มิใช่ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังเพียงคนเดียวที่ต้องปิดฉากชีวิต
ราชการลงอย่างเจ็บปวด ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่
19 กันายน 2549
มีข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังจำนวนมากประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับนาย
ศุภรัตน์
เริ่มจากกลุ่มข้าราชการที่ถูกกล่าวหาว่า
กระทำความผิดฐานเดียวกับนายศุภรัตน์ เพียงแต่ว่า
เกษียณอายุราชการไปหมดแล้ว จึงโดนเพียงคดีอาญาเท่านั้น ประกอบด้วย
1.นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง 2.นายสมหมาย ภาษี
อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง(อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกรคลัง)
ขณะ
ที่ข้าราชการสังกัดสำนักงาน ก.พ.ที่ประสบชะตากรรมพร้อมกันได้แก่
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
ผิดวินัยร้ายแรงฐานประมาทเลินเล่อทำให้ราชการเสียหายอย่างร้ายแรงและนายเมธี
ภมรานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารและการจัดการ สำนักงาน ก.พ.โดนคดีอาญา
ก่อนหน้านั้นข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลัง 5 รายประกอบด้วย
นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร, นายวิชัย จึงรักเกียรติ
อดีตผู้อำนวยการ.สำนักงานกฎหมาย
กรมสรรพากรและอดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ,
น.ส.สุจินดา แสงชมพู อดีตนิติกร 9, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตนิติกร
8และอดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย และ น.ส.กุลฤดี แสงสายัณห์ อดีตนิติกร 7
ว. ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2549 ว่า
เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา
และมีความผิดวินัยร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
กรณีละเว้นการเก็บภาษีการโอนหุ้นชินฯระหว่างนายบรรณพจน์ กับ น.ส.ดวงตา
วงศ์ภักดี คนรับใช้ จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท
ผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการซื้อขายหุ้นดังกล่าว ผู้ซื้อและผู้ขาย
ได้เสียค่าธรรมเนียมแก่โบรกเกอร์ เป็นเงิน 7.38 ล้านบาท จนข้าราชการทั้ง
5 รายถูก อ ก.พ.กระทรวงการคลังไล่ออกจากราชการ
แม้ต่อมาเมื่อวัน
ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา
ศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องคดีที่อัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องข้าราชการทั้ง 5
รายเป็นจำเลย แต่อธิบดีศาลอาญาได้มีความเห็นแย้งองค์คณะผู้พิพากษา
จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในแวดวงกฎหมาย
ขณะนี้คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยทั้ง 5
คนจึงยังไม่พ้นบ่วงกรรม
สำหรับนายศุภรัตน์นั้น แม้จะถูกไล่ออก
ก็ยังมีช่องทางผ่อนหนักเป็นเบา เพราะตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ.2551 มีการแต่งตั้ง"คณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม(ก.พ.ค.)"
ขึ้นมาทำหน้าที่แทน
ก.พ.ในการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์จากข้าราชการที่ถูกปลดออก-ไล่ออกซึ่ง
ก.ค.พ.มีอิสระในการใช้ดุลพินิจตามกฎหมายไม่ต้องอยู่ภายใต้มติ
ครม.เหมือนกับ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.
)ที่ต้องทำตามมติคณะรัฐมนตรีที่มีมติให้ไล่ออกข้าราชการที่ทุจริตออก
จากราชการโดยไม่สามารถลดหย่อนโทษได้
ขณะที่
ก.พ.ค.สามารถพิจารณาลดหย่อนโทษจากไล่ออกเป็นปลดออกได้ ซึ่งกระทรวง ทบวง
กรม ต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัย ก.พ.ค.มิเช่นนั้นให้ถือว่า
เป็นการจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่
บุคคลอื่น(มาตรา 116 พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ )
นอกจากนั้ย
ัง มีนักกฎหมายบางส่วนมองว่า ก.พ.ค.เป็นองค์กรกึ่งตุลาการ
ถ้าพิจารณาแล้วไม่เห็นด้วยกับ ป.ป.ช.อาจเปลี่ยนฐานความผิด
ลงโทษไม่ถึงขั้นไล่ออกได้
ซึ่งต้องดูกันต่อไปเพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไว้แล้ว
ก.พ.ไม่สามารถเปลี่ยนฐานความผิดตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลไว้ได้
แต่ประเด็นคือ ก.พ.ค.มีสถานะทางกฎหมายเช่นเดียวกับ ก.พ.หรือไม่
แต่
การที่ ก.พ.ค.จะลดหย่อนโทษนั้นต้องมีเหตุผลที่อธิบายได้อย่างหนักแน่น
เพราะมิเช่นนั้นจะเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้ข้าราชการทุจริตประพฤติมิชอบ
มากกว่า"พิทักษ์คุณธรรม"
อย่างไรก็ตาม นอกจากด่านทางวินัยแล้ว
นายศุภรัตน์ต้องโดนคดีอาญต้องถูกส่งฟ้องศาลอาญาซึ่งอาจกินเวลานานนับสิบปี
เช่นเดียวกับนายสมใจนึก
เองตระกูลและนายสมหมายภาษีซึ่งถึงเวลานั้นก็คงชราภาพแล้ว
แต่
ประเด็นที่น่าสนใจคือ
บรรดาข้าราชการระดับสูงเหล่านี้ต้องเผชิญวิบากกรรมอย่างหนักหน่วงล้วนเริ่ม
จากการพัวพันการช่วยเหลือผู้มีอำนาจในคดีการเลี่ยงภาษีการโอนหุ้นชินคอร์ป
มูลค่า 738 ล้านบาทระหว่างคุณหญิงพจมาน ชินวัตร กับนายบรรณพจน์
ดามาพงศ์ทั้งสิ้น
เพราะรองอธิบดีทั้ง 4
คนที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า ได้รับการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมายโดย 2
คนมีการล็อกสเป๊กไว้แล้ว รายหนึ่งคือ นายช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฏ์ เคยถูก
ป.ป.ช.สอบในคดีนี้ แต่รอดมาได้
อีกรายคือนายบุญศักดิ์ เจียมปรีชา
อดีตอธิบดีกรมบัญชีกลางที่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด
ซีทีเอ็กซ์ที่ถูกกล่าวหาว่า ตั้งขึ้นมาเพื่อฟอกนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
ขณะ
ที่นายวิชัย จึงรักเกียรติ
ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย(ต่อมาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐ
วิสาหกิจ) ถูก ป.ป.ช.ลงมติว่า ละเว้นการไม่เก็บภาษีการโอนหุ้น
จนถูกกระทรวงการคลังไล่ออกจากราชการพร้อมกับนายศิโรตม์
อดีตอธิบดีกรมสรรพากรและถูกดำเนินคดีอาญา
แต่ในที่สุดทุกคนต้องถูกลดตำแหน่งเหลือซี 9 เพราะคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ความ
จริงเรื่องข้าราชการช่วยเหลือผู้มีอำนาจโดยมิชอบ โดยหวังลาภ ยศ
สรรเสริญต้องประสบชะตากรรมมาแล้วมากมายแต่ดูเหมือนว่า
เป็นบทเรียนที่ไม่เคยมีใครจดจำ
และยังดำเนินการอย่างขะมักเขม้นอยู่ในกรมสรรพากรในขณะนี้
ดังนั้นเป็นไปได้ว่า นายศุภรัตน์อาจไม่ใช่ข้าราชการกระทรวงการคลังรายสุดท้ายที่ต้องปิดฉากลงด้วยน้ำตา