เส้นผมบังภูเขา/นโยบายเศรษฐกิจอย่างไร?/ล้ม 7 ครั้ง ลุก 8 ครั้ง

พลวัต เส้นผมบังภูเขา
เส้นผมบังภูเขา

คำ
ถามว่า ใครจะหน้าบางกว่ากันในบรรดาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
หลังจากที่ถูกกลุ่มสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียตั้งคำถามพร้อมคำแนะนำออกมาว่า
พวกเขาทั้ง 7
คนผ่านกระบวนการคัดเลือกจนได้รับแต่งตั้งมาอย่างละเมิดข้อบังคับตามรัฐ
ธรรมนูญและมาตรฐานสากล ไม่ใช่เป็นคำถามหลักสำหรับเมืองไทยยามนี้?
และคำถามหลักเรื่องนิติรัฐก็ไม่ใช่คำถามหลักของ
เพราะว่า
คำถามที่ใหญ่กว่าและลึกซึ้งกว่า
ซึ่งน่าจะเป็นปมชี้ขาดชะตากรรมของสังคมไทยก็คือว่า
เราจะออกแบบระบอบการเมืองที่อยู่บนรากฐานของปรัชญาอะไรกันแน่? ระหว่าง
ปรัชญาเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้น กับปรัชญาเรื่องสัญญาประชาคม
ข้อเท็จ
จริงที่ว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดเก่าสิ้นสภาพเพราะทำผิดกติกา
และ มีการสรรหาคณะกรรมการชุดใหม่ภายใต้กติการัฐธรรมนูญ 2550 ปรากฏว่า
มีผู้ยื่นใบสมัคร ๑๓๓ คน
ทำให้คณะกรรมการคัดเลือกประกอบด้วยผู้ตุลาการ(รัฏฐาธิปัตย์ตัวจริงของรัฐ
ธรรมนูญ 2550) ๕ คน และประธานวุฒิสภาได้ประชุมเพื่อสรรหาเมื่อวันที่ ๘
เมษายน ซึ่งได้เสนอ
ผลลัพธ์ที่ออกมา ปรากฏว่า
คณะกรรมการคนหนึ่งอยู่ในระหว่างการถูกสอบสวน
และผู้สมัครมีคุณสมบัติครบถ้วนหลายคนได้รับการปฎิเสธ
เป็นที่มาของเสียงวิพากษ์ ซึ่งนาย แบรด อาดัมส์ ผู้อำนวยการฮิวแมน
ไรทส์ วอทช์ ของเอเซีย ระบุว่า
"ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการท้าทายในเรื่องสิทธิของมนุษยชน
จากการเลือกบุคคลซึ่งขาดทั้งประสบการณ์และคุณสมบัติ
แม้จะไม่มีเสียงพูดออกมาตรงๆ แต่คำวิพากษ์ดังกล่าว กำลังถามถึงรากเหง้าคือเรื่องของนิติรัฐในสังคมไทยอย่างชัดเจนที่สุดอีกครั้ง
คำว่านิติรัฐ มาจากรากศัพท์ภาษาเยอรมันว่า Rechtsstaat (ตรงกับภาษา อังกฤษ
และ
ฝรั่งเศสว่า The rule of law และ ?tat de droit ตามลำดับ)
หมายความถึงการบริหารปกครองรัฐหรือสังคมซึ่งถือกฎหมายเป็นใหญ่ เป็น
"การปกครอง" โดยกฎหมาย
มิใช่แล้วแต่อำเภอใจของผู้ใช้อำนาจหรือ ผู้ปกครอง
แนว
คิดเรื่องนิติรัฐ ถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเสรีประชาธิปไตย
ที่ถูกสร้างขึ้นมาภายใต้ทฤษฎีทางปรัชญา"สัญญาประชาคม"
ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีความแตกต่างจากทฤษฎีทางปรัชญาเรื่อง"การต่อสู้ทางชนชั้น"
คนละขั้วกันเลยทีเดียว
รัฐประชาชาติสมัยใหม่ในช่วง 300
ปีที่ผ่านมาทุกแห่งทั่วโลก ล้วนอยู่ภายใต้กรอบ 2
ทฤษฎีนี้ที่ต่อสู้ทางความคิดกันมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันและจะต่อสู้กันอีก
ต่อไปในอนาคตทฤษฎีต่อสู้ทางชนชั้น เป็นทฤษฎีที่ลัทธิมาร์กซ-เลนิน
ยึดถือเป็นหลักชัยชี้นำ ถือว่า รัฐคือผลผลิตที่เกิดจากการต่อสู้ทางชนชั้น
รัฐคือเครื่องมือสำหรับกดขี่ทางชนชั้น และกฎหมายของรัฐก็ถือหลัก
"ชนชั้นใดเขียนกฎหมาย
ก็แน่ไซร้เพื่อชนชั้นนั้น"เป้าหมายของรัฐจึงมีไว้เพื่อให้คนกลุ่มน้อย
กดขี่ขูดรีดคนส่วนใหญ่ สันติภาพที่แท้จริงจะมี
ขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐถูก
ทำลายลงไปหลังจากการต่อสู้อันเข้มข้นจนกระทั่งบรรลุสู่เป้าหมายสังคม
คอมมิวนิสต์ในอนาคตอันไกล(ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อใด)
ส่วนทฤษฎีสัญญา
ประชาคม ตรงกันข้าม ถือว่า รัฐเกิดจากการประนีประนอมทางชนชั้น
รัฐมีไว้สำหรับระงับและจัดการความขัดแย้งของชนชั้นต่างๆในสังคม
ที่เกิดจากการเสียสละของสมาชิกหรือปวงชนในการแลกเปลี่ยนกับการคุ้มครอง
ผ่านระบบกฎหมายที่ให้ความยุติธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติต่อกัน
ทฤษฎีสัญญา
ประชาคม คือฐานรากของรัฐประชาธิปไตยในปัจจุบัน
และต่อมาเมื่อมีการพัฒนาทฤษฎีมากขึ้น
ก็มีการนำเสนอพัฒนาการที่โดดเด่นขึ้นมาในเรื่องนิติรัฐ
(ตามหลักประมวลกฏหมาย เรียกว่า นิติรัฐ
แต่ตามหลักกฎหมายจารีตแบบอังกฤษและอเมริกา เรียกว่า นิติธรรม
ซึ่งก็คืออย่างเดียวกัน) ที่ถือว่า จะช่วยให้เสรีภาพ
และการมีส่วนร่วมในอำนาจนำเหนือ
นิติรัฐ
จึงเป็นรูปแบบสูงสุดของรัฐประชาธิปไตยภายใต้ทฤษฎีสัญญาประชาคมที่ถือเอา
เรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เสรีภาพของบุคคล และความยุติธรรม
รัฐใดก็ตามที่ไม่ยอมพัฒนาไปสู่การเป็นนิติรัฐ
ก็หมายความรัฐนั้นกำลังสุ่มเสี่ยงที่จะหล่นไปลงสู่ทฤษฎีต่อสู้ทางชนชั้น
ซึ่งปลายทางคือการใช้ความรุนแรงตามกฎธรรมชาติเข้าห้ำหั่นกัน
สังคมไทย
กำลังเดินมาใกล้เคียงกับทางเลือกนี้มากยิ่งขึ้น
และกำลังเรียกร้องให้ทุกฝ่าย(โดยเฉพาชนชั้นนำ
ปรับกระบวนทัศน์เสียใหม่เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดจากการเคลื่อน
ตัวของสังคมที่ไม่มีทางเลี่ยง
นี่มิใช่ครั้งแรกที่สังคมไทยต้องเลือก
เพราะนับแต่การเข้ามาของตะวันตก นับแต่สัญญาบาวริ่งเป็นต้นมา
สังคมและการเมืองไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงหลายครั้ง ในรัชกาลที่ 5
ต้องปรับระบอบการปกครองเป็นแบบตะวันตกเต็มรูป
ยกเลิกโบราณราชประเพณีเก่าๆเกือบหมดเพื่อให้อยู่รอด
ต่อมาเมื่อราชสำนักล้มเหลวที่จะปรับตัวก็ถูกคณะราษฎรเข้าแทนที่
แล้ว
วันนี้ สังคมไทยได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง อันเป็นมรดกจากพลวัตในระยะ 15
ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะในต่างจังหวัดซึ่งพื้นฐานซึ่งเรียกในจินตนาการว่าเมือง
เคลื่อนเข้าแทนที่ชนบทอย่างเต็มรูป
ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หลากหลายแม้กระทั่งกระบวนการผลิตทาง
เกษตรก็ยังเป็นไปในเชิงพาณิชย์อย่างเข้มข้น ทำให้คนจำนวนมาก
เรียกร้องหาความสัมพันธ์รูปแบบใหม่
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนนับแต่หลังการ
รัฐประหาร 2549 ก็คือ ด้านหนึ่ง
ชนชั้นนำแสดงความด้อยปัญญาที่จะปรับกระบวนทัศน์ของตนเอง อีกด้านหนึ่ง
ประชาชนอันไพศาลที่เคยถูกมองข้ามแสดงการไม่ยอมรับการนำแบบเดิมอีกแล้ว
นั่น
หมายความว่า หากชนชั้นนำยังคงดื้อรั้น
ไม่ยอมไม่ยอมให้รัฐไทยพัฒนาไปสู่นิติรัฐ
สังคมไทยจะหนีไม่พ้นที่จะหาทางออกใหม่ด้วยการกลับไปสู่การต่อสู้ทางชนชั้น
ที่ไม่พึงปรารถนา ไม่ว่าจะชื่นชอบ หรือ จะล้าหลังเพียงใด
เรื่องความหน้าหนาหรือบางของใครบางคน จึงกลายเป็นเรื่องเล็กไป เพราะเรื่องใหญ่กว่า ยังไม่มีใครถอดรหัสได้ เสมือน"เส้นผมบังภูเขา"

ขี่พายุ นโยบายเศรษฐกิจอย่างไร
นโยบายเศรษฐกิจอย่างไร

วันนี้นอกจากการกู้เงินขนาดใหญ่และการถอนขนห่านแล้ว อยากจะตั้งคำถามเล่นๆว่า รัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจกันอย่างไรต่อไป
การจี้ไปที่นโยบายสินเชื่อของดร.โอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีวันก่อน พอจะได้คำตอบเลาๆจากรัฐบาลบ้างแล้ว
รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังก็ขอร้องไปทางแบงก์ชาติให้ช่วยกำชับธนาคารพาณิชย์ให้ปล่อยสินเชื่อแก่ลูกค้า
คำตอบของธนาคารพาณิชย์ก็มีกลับมาบ้างแล้วว่า ธนาคารพาณิชย์ก็อยากปล่อยสินเชื่อใจจะขาด แต่ก็ต้องคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยง
พูดง่ายๆก็คือกลัวจะเป็นหนี้เสียนั่นเอง
เรื่อง
ที่แบงก์ชาติขอร้องให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงมา
ก็มีเสียงแข็งๆตอบกลับมาจากแบงก์เกอร์ใหญ่มาแล้วว่า คงเป็นไปได้ยาก
เพราะธนาคารก็ต้องคิดเผื่อในเรื่องของหนี้เสียไปด้วย
สรุปว่า ไม่ว่ารัฐบาลหรือแบงก์ชาติจะขออะไรไปก็ไม่ได้สักอย่าง แล้วจากนี้ไปรัฐบาลจะแก้ปัญหาสินเชื่อหดตัวไปได้อย่างไร
ผม
ว่าคำปาถกฐาของดร.โอฬาร ที่งานนิด้า บิสซิเนส สคูลเมื่อสัปดาห์ก่อน
เจาะเป๋งเข้าประเด็นและชี้ทางออกจากวิกฤตได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนมาก
ดร.โอฬาร ชี้ไปที่3นโยบายใหญ่ที่รัฐบาลต้องทำ
หนึ่ง.นโยบายการคลัง ที่ผ่านมารัฐบาลทำได้ดีแล้ว ให้คะแนนเกรดA ควรต้องทำให้ต่อเนื่องต่อไป
สอง.
นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อการส่งออก ซึ่งดร.โอฬาร
มองว่าแบงก์ชาติควรบริหารค่าเงินบาทให้อ่อนตัวกว่าปัจจุบันสัก1บาท/ดอลลาร์
เงินบาทขณะนี้ควรจะอยู่ในระดับ35.50-36.50บาท
สาม.นโยบายสินเชื่อ
รัฐบาลได้รับเกรดแย่ที่สุดคือF เนื่องจากสินเชื่อหดตัว
และรัฐบาลก็ยังไม่กำหนดเป้าหมายสินเชื่อที่ชัดเจน
รวมทั้งจะมีนโยบายใช้ธนาคารรัฐขับเคลื่อนแก้ปัญหานี้อย่างไร
ดร.โอฬาร
แสดงความเชื่อมั่นในโมเดลของจีน
ที่ลุกออกจากวิกฤตได้ก่อนใครก็เพราะรัฐบาลจีนใช้นโยบายให้ธนาคารพาณิชย์
ปล่อยสินเชื่อตลอดเวลา ไม่มีการสะดุดหยุดปล่อยสินเชื่อ
โมเดลแบบไทยๆเรา
ดร.โอฬารก็เสนออีกว่า อาจจะใช้รูปแบบของ
บสย.ที่เข้าไปค้ำประกันสินเชื่อSMEครึ่งหนึ่งร่วมกับธนาคารพาณิชย์
ก็จะทำให้สินเชื่อหล่อเลี้ยงธุรกิจต่อไปได้
ผมว่า ถ้าจะบอกว่ารัฐบาลมีนโยบายเศรษฐกิจ มันก็คงไม่ใช่แค่การกู้เงินขนาดใหญ่กับการขึ้นภาษีเท่านั้นหรอก
มันควรจะมีอย่างอื่น อาทิ นโยบายการคลัง นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายสินเชื่ออย่างที่ว่ากันด้วย
มีแค่การกู้เงินกับการขึ้นภาษี ก็เห็นจะมีแต่ความเจ็บปวดเกิดขึ้นเท่านั้น

#############

พาราสาวะถี"อรชุน"

๑๑
รีดภาษีกันเป็นรายวัน ได้เงินจากน้ำมันวันละ 140 ล้านบาท
รัฐบาลก็ยังหน้ามืด ไม่มีเงินไปโปะสนองอภิมหาประชานิยม ยิ่งล่าสุด ชัย
ชิดชอบ
ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความตามคำร้องของฝ่ายค้าน
ทำให้การออกพระราชกำหนดกู้เงิน 4แสนล้านบาทมีอันสะดุดตามไปด้วย
ไม่รู้รัฐบาลละอ่อนจะแก้ปัญหากันอย่างไร
๑๑หัวใจหลักที่ถือเป็นมือเป็น
ไม้สำคัญของรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณคือ
กระทรวงการคลังก็มาตกอยู่ในภาวะระส่ำ
กับมติอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนกระทรวงการคลังหรือ อ.กพ.คลังว่า
ที่ให้ไล่ ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังออกจากราชการตามที่ชี้มูล
ปลัดคลังกระทำผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ในการแต่งตั้ง
รองอธิบดีกรมสรรพากร 4 คนไม่ชอบด้วยกฎหมาย
๑๑ไม่รู้ว่าขวัญและกำลังใจ
ของข้าราชการในกระทรวงแห่งนี้จะเป็นอย่างไร ในเมื่อหัวเรือใหญ่ถูกเด้ง
โดยมีเหตุจากการทำงาน ซึ่งมองมุมต่างกันในข้อกฎหมาย
ก็ไม่รู้ว่าต่อไปใครจะมีกะจิตกะใจในการทำงาน
เหมือนอย่างกรณีการชี้มูลความผิดแบบเหวี่ยงแหในคดีหวยบนดิน
นี่คงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ข้าราชการยุคนี้”เกียร์ว่าง”
๑๑อย่างไรก็
ตาม ปลัดคลังยังมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมหรือ ก.พ.ค.
ซึ่งเพิ่งแต่งตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551
แต่ก็มีเครื่องหมายคำถามว่าคณะกรรมการชุดดังว่าจะสามารถตัดสินในลักษณะกลับ
ความเห็นของป.ป.ช.ได้หรือไม่ ท้ายที่สุด จะถือเป็นบรรทัดฐานได้หรือเปล่า
นั่นเท่ากับว่า คงต้องใช้เวลานานอย่างยิ่งกว่าจะมีข้อยุติ
เพราะคงต้องมีการยื่นตีความกันอีกหลายกระทอก
๑๑คงต้องจับตามองกันช็อต
ต่อไป กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลังจะตั้งใครมาทำหน้าที่แทน
แคนดิเดตที่พูดถึงกันวันนี้ก็มีอยู่แค่สองราย
โดยคนแรกโดดเด่นมากกว่าใครคือ สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดคลัง
หัวหน้ากลุ่มด้านภารกิจด้านรายได้ ที่ยังมีอายุราชการเหลืออีก 2 ปี
๑๑
หรืออีกแนวทางเป็นการเดินเกมแบบเพลย์เซฟคือตั้ง วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ
รองปลัดคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน
ให้ทำหน้าที่รักษาการปลัดฯไปก่อน
จนเจ้าตัวจะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นการประวิงเวลา
เพราะท้ายที่สุดหลังตุลาคม คนที่จะก้าวขึ้นมาก็คงหนีไม่พ้นรองปลัดสถิตย์
๑๑
ปัญหาอันเกิดจากข้อกฎหมาย ที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น
ถือว่าเป็นตัวบั่นทอนการทำงานของรัฐบาลอย่างหนัก ไม่รู้ว่า อภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ นายกฯเทพประทาน เจอเข้ากับตัวแล้วจะรู้สึกอย่างไร
แต่คงไม่เก็บอาการ เพราะล่าสุด การส่งสัญญาณผ่านโฆษกพรรคประชาธิปัตย์
นายแพทย์ บุรณัชย์ สมุทรรักษ์ ว่าด้วยการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 190
ก็ชัดเสียยิ่งกว่าชัดว่า
พวกเดียวกันกับอำนาจนอกระบบก็ยอมรับกติกาข้อนี้ไม่ได้
๑๑น่าจะถึงเวลา
แล้วกระมัง ที่อภิสิทธิ์จะส่งซิกไปยังเหล่าแบ็คอัพชั้นดี
หนุนให้มีอำนาจแล้วต้องหาทางปลดล็อกกับดักต่างๆให้ด้วย มิเช่นนั้น
การทำงานก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากรัฐบาลสองชุดก่อนหน้านั้น ทางที่ดี
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเลือกแนวทางตามคำพระคือ อตัมยตา
ที่ถ้าแปลตรงๆก็คือ"กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย"
๑๑แต่ท่าจะเป็นเรื่องยาก
เนื่องจากหากไม่แยแสต่อข้อคิดความเห็นของบรรดากองหนุนมีสี
รัฐบาลก็มีแต่พังกับพัง น่าจับตา
การปรับคณะรัฐมนตรีที่คาดว่าคงจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
จะมีเฉพาะเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์ ที่พรรคภูมิใจไทยจะเขี่ย
ชาติชาย พุคยาภรณ์ พ้นเก้าอี้
หรือจะมีการพ่วงตำแหน่งอื่นของพรรคอื่นตามมาด้วย
๑๑สแกนดูแล้วยังเก็บ
อาการกันอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่นายกฯไฟเขียวให้ส่งรายชื่อ
จะมีการเปลี่ยนโผนาทีสุดท้ายหรือไม่ น่าสนใจ ตรงที่ อภิสิทธิ์ตั้ง
สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ให้ประเมินผลงานของรัฐมนตรีเป็นรายตัว
แม้จะมีการปฏิเสธเป็นการติดตามเพื่อทำรายงานเสนอต่อรัฐสภา
แต่ต้องไม่ลืมเสี่ยตาลถูกคนพรรคเดียวกันตั้งข้อกังขาเป็นแก๊งออฟโฟร์
ที่มีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตาย
เลือกคนในพรรคเก่าแก่ขึ้นมานั่งเก้าอี้เสนาบดี
๑๑งานนี้ต้องวัดใจ
หากไม่มีอะไรในก่อไผ่คงไร้แรงกระเพื่อม
แต่ถ้าผลประเมินของทีมสาทิตย์มีเหตุให้ใครต้องกระเด็นพ้นตำแหน่ง
จุดนี้จะกลายเป็นหนังเรื่องยาวส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
กระนั้นก็ตาม ในยามที่ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยคงไม่มีใครกล้าหักดิบ
เว้นเสียแต่จะเป็นการทะเลาะว่าด้วยเรื่องของผลประโยชน์ภายในกลุ่มก๊วนเดียว
กันเอง
๑๑อย่างนี้ต้องแสดงความยินดีหรือเปล่า ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์
ประกาศไขก๊อกพ้นเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
พูดง่ายๆเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่เขาไหว้วานให้รับบทหนังหน้าไฟไว้ก่อน
เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปแบบไม่อาลัยอาวรณ์ คงเหมือนยกภูเขาออกจากอก
จากนี้ใครจะไปใครจะมาไม่ขอยุ่งเกี่ยว
๑๑ส่วนการเลือกหัวหน้าคนใหม่
กำหนดกันไว้สิ้นเดือนนี้ 31 พฤษภาคม
จึงจะนัดยกมือเลือกกันพร้อมกรรมการบริหารพรรค ชื่อล่ามาแรงเป็น โอฬาร
ไชยประวัติ อดีตรองนายกฯยุครัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์
แต่ที่ยังไม่เสื่อมมนต์ขลังยังมีชื่อโผล่แจมคือ "บิ๊กจิ๋ว"พลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ
๑๑คำตอบสุดท้ายอยู่ที่คนไกลเจ้าของพรรคตัวจริงเสียงจริง
ทักษิณ ชินวัตร
จะกดปุ่มเลือกใครอย่างไรเสียมีคนหนึ่งที่บิ๊กแม้วจะส่งลงเป็นตัวแทนก็คือ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะระยะหลังไม่ว่าจะมีเวทีเสื้อแดง
คนรักทักษิณที่ไหนเจ้าตัวจะไปปรากฎตัวไม่ได้ขาด
ซึ่งการเดินเข้าสู่ถนนสายการเมืองรอบนี้เพื่อเป็นการการันตีให้บรรดาส.ส.ที่
ภักดีทั้งหลายนายใหญ่ไม่ได้ทอดทิ้ง
ทั้งหมดที่ว่าเป็นจริงหรือไม่สิ้นเดือนนี้ได้รู้กัน

-----------------------

ล้ม 7 ครั้ง ลุก 8 ครั้ง

เมื่อ
ความผิดหวังแวะเวียนมาหา
...แน่นอนว่าฝันที่บนฝากฟ้าก็มองไม่เห็นเมื่อใดความทุกข์เข้ามาก็จะสร้าง
ความลำเค็ญ..
เป็นเพราะใจเรายังไม่มั่นคงอุปสรรคขวากหนามนั้นถือว่ามีทั่วไป...แต่ทุกคน
ที่ก้าวเดินย่อมมีจุดหมายแต่ถ้าอยากจะเป็นดั่งฝัน ...หนทางเดินสุขสบาย...
ดุจดั่งดอกไม้กองไว้นั้น...คงไม่มี
อาจจะมี 7 ครั้งที่ล้มลง แต่ก็มี 8 ครั้งที่ลุกขึ้นยืนใหม่ได้เมื่อสงครามยังอยู่ ใจก็ต้องสู้ไม่ท้อ
การ
อยู่บนถนนหนทางของชีวิต ขออย่าคิดที่จะยอมแพ้ เพียงแต่บางวันอาจจะดูอ่อนแอ
ขอเพียงอย่ายอมแพ้ อย่าสิ้นหวัง
และอย่าสิ้นกำลังใจจุดหมายที่มองไว้...ก็ไม่ไกลเกินกว่าจะไปถึง

-----------------------